บทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 โอกาสปีศักดิ์สิทธิ์เพื่อครูคำสอน (Jubilee for Catechists) วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2025 ณ จัตุรัสนักบุญเปโตร นครรัฐวาติกัน

October 2, 2025 03:16

พี่น้องที่เคารพรัก

พระวาจาของพระเยซูเจ้าถ่ายทอดให้เราเห็นว่า พระเจ้าทรงมองโลกอย่างไร ในทุกขณะและทุกสถานที่ เราได้ยินในพระวรสาร (ลูกา 16:19–31) ว่าพระเนตรของพระองค์ทอดพระเนตรเห็นผู้ยากจนและผู้ร่ำรวย เห็นคนหนึ่งกำลังจะตายด้วยความหิวโหย และอีกคนหนึ่งกำลังกินอิ่มหนำสำราญอยู่ตรงหน้า เห็นคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าหรูหรา และอีกคนหนึ่งถูกสุนัขเลียแผล (เทียบ ลูกา 16:19–21)

แต่พระเจ้าทรงทอดพระเนตรจิตใจของผู้คน และผ่านทางพระเนตรของพระองค์ เรายังสามารถมองเห็นทั้งผู้ยากจนและผู้ที่เย็นชา ลาซารัสถูกลืมโดยคนที่อยู่ตรงหน้าเขา ตรงหน้าประตูบ้านของเขา แต่พระเจ้าทรงอยู่ใกล้เขาและทรงระลึกถึงชื่อของเขา

พระเจ้าทรงจดจำชื่อของผู้ที่มีผู้อื่นในจิตใจ

ในทางกลับกัน คนที่มีชีวิตอย่างมั่งคั่งกลับไม่มีชื่อ เพราะเขาหลงลืมตัวเองไปเพราะลืมเพื่อนบ้าน เขาหลงอยู่ในความคิด ในใจของเขาเต็มไปด้วยสิ่งของและว่างเปล่าจากความรัก ทรัพย์สมบัติของเขาไม่ได้ทำให้เขาเป็นคนดี เรื่องราวที่พระเยซูเจ้าทรงเล่าให้เราฟังนั้น น่าเสียดายที่ยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน ณ เบื้องหน้าของความมั่งคั่ง คือความทุกข์ยากของชนชาติทั้งมวลที่ถูกทำลายด้วยสงครามและการเอารัดเอาเปรียบ ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป มีลาซารัสกี่คนที่ต้องตายเพราะความโลภที่ลืมความยุติธรรม กำไรที่เหยียบย่ำความรัก และความมั่งคั่งของผู้ที่มองไม่เห็นความทุกข์ของผู้ยากจน

พระเจ้าประทานความยุติธรรมแก่ผู้ยากจนและผู้ร่ำรวย

กระนั้นก็ดี พระวรสารยืนยันกับเราว่า ความทุกข์ทรมานของลาซารัสจะสิ้นสุดลง ความเจ็บปวดของเขาสิ้นสุดลงเช่นเดียวกับที่ความสนุกสนานของผู้ร่ำรวยสิ้นสุดลง และพระเจ้าทรงให้ความยุติธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย “ผู้ยากจนนั้นตาย และทูตสวรรค์ได้นำพาเขามาอยู่ข้างอับราฮัม ผู้ร่ำรวยนั้นก็ตายและถูกฝัง” ด้วยเช่นเดียวกัน (ลก 16:22) พระศาสนจักรประกาศพระวาจาของพระเจ้านี้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อที่จะได้เปลี่ยนใจเรา

พี่น้องที่รัก ด้วยความบังเอิญอันน่าทึ่งที่ข้อความจากพระวรสารตอนเดียวกันนี้ ได้รับการประกาศในช่วงปีศักดิ์สิทธิ์เพื่อครูคำสอนในปีศักดิ์สิทธิ์แห่งเมตตาธรรมที่ผ่านมาด้วยเช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงไถ่โลกจากความชั่วร้ายทั้งปวงโดยการสละพระชนมชีพของพระองค์เพื่อความรอดพ้นของเรา พระราชกิจแห่งความรอดของพระเจ้าเป็นจุดเริ่มต้นของพันธกิจของเรา เพราะพระองค์ทรงเชื้อเชิญให้เราอุทิศตนเพื่อประโยชน์ของทุกคน

“นี่คือศูนย์กลางที่ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในโลกของเรา หัวใจที่เต้นแรงที่ให้ชีวิตแก่ทุกสิ่งคือคำประกาศปัสกา คำประกาศแรกที่กล่าวว่า ‘พระเยซูเจ้าทรงคืนพระชนมชีพแล้ว’ พระเยซูเจ้าทรงรักท่าน และทรงสละพระชนมชีพเพื่อท่าน ทรงกลับคืนพระชนมชีพและทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ทรงใกล้ชิดท่านและทรงรอคอยท่านทุกวัน” (บทเทศน์ของพระสันตะปาปาฟรังซิส 25 กันยายน 2016) ถ้อยคำเหล่านี้ช่วยให้เราไตร่ตรองถึงบทสนทนาในพระวรสารระหว่างเศรษฐีกับอับราฮัม การวิงวอนของเศรษฐีที่ต้องการช่วยเหลือพี่น้องของเขาได้กลายเป็นการเรียกร้องให้เราดำเนินการ

เมื่อพูดกับอับราฮัม เศรษฐีร้องว่า “ถ้าใครจากคนตายไปหาพวกเขา เขาจะกลับใจ” (ลูกา 16:30) อับราฮัมตอบว่า “ถ้าเขาไม่ฟังโมเสสและบรรดาผู้เผยพระวจนะ แม้คนใดจะเป็นขึ้นจากผู้ตาย เขาก็จะไม่เชื่อ” (ข้อ 31) แท้จริงแล้ว มีผู้หนึ่งที่ฟื้นจากคนตายแล้ว นั่นคือพระเยซูคริสตเจ้านั่นเอง ดังนั้น พระคัมภีร์จึงไม่ได้มุ่งหมายที่จะทำให้เราผิดหวังหรือท้อแท้ แต่เพื่อปลุกจิตสำนึกของเรา การฟังโมเสสและบรรดาผู้ประกาศกหมายถึง การระลึกถึงพระบัญญัติและพระสัญญาของพระเจ้า ซึ่งการทรงนำของพระองค์ไม่เคยทอดทิ้งใครเลย

เราทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงได้

พระวรสารประกาศแก่เราว่า ชีวิตของทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะพระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย เหตุการณ์นี้คือความจริงที่ช่วยเราให้รอด ดังนั้น เราต้องรู้จักและประกาศ แต่นั่นยังไม่พอ เราต้องรู้จักรัก ความรักนำเราไปสู่ความเข้าใจพระวรสาร เพราะความรักเปลี่ยนแปลงเรา โดยการเปิดใจของเราให้ต้อนรับพระวาจาของพระเจ้าและต้อนรับเพื่อนบ้านของเรา

ครูคำสอนคือผู้สอนด้วยเสียงอันดังและก้องกังวาน

ในเรื่องนี้ ในฐานะครูคำสอน ท่านคือสาวกของพระเยซูเจ้าผู้เป็นประจักษ์พยานของพระองค์ ชื่อของพันธกิจของท่านมาจากคำกริยาภาษากรีกที่ว่า katēchein ซึ่งแปลว่า “การสอนเสียงดัง หรือ การทำให้ก้องกังวาน” ซึ่งหมายความว่า ครูคำสอนคือบุคคลแห่งพระวาจาของพระเจ้า คือคำที่พวกเขาเปล่งออกมาด้วยชีวิตของตนเอง

ดังนั้น ครูคำสอนคนแรกของเราก็คือพ่อแม่ของเรา ผู้ที่พูดกับเราเป็นคนแรก และสอนให้เราพูด เช่นเดียวกับที่เราเรียนรู้ภาษาแม่ของเรา การประกาศความเชื่อก็ไม่สามารถมอบหมายให้ผู้อื่นทำได้เช่นกัน แต่เกิดขึ้นได้ในทุกที่ที่เราอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในบ้านของเรา รอบโต๊ะอาหารของครอบครัว เมื่อมีเสียง ท่าทาง หรือใบหน้าที่นำไปสู่พระคริสตเจ้า ครอบครัวก็จะสัมผัสได้ถึงความงดงามของพระวรสาร

เราทุกคนได้รับการสอนให้เชื่อผ่านประจักษ์พยานของผู้ที่เชื่อก่อนหน้าเรา ตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น วัยหนุ่มสาว วัยผู้ใหญ่ และแม้กระทั่งวัยชรา ครูสอนคำสอนได้ร่วมเดินไปกับเราในความเชื่อ ร่วมแบ่งปันในการเดินทางอันยาวนานนี้ ดังเช่นที่ท่านได้ทำในวันสำคัญนี้ ในการเดินทางแสวงบุญปีศักดิ์สิทธิ์ พลวัตนี้ครอบคลุมพระศาสนจักรทั้งหมด

สอนคำสอนจากประสบการณ์แห่งความเชื่อของครูคำสอน

ขณะที่ประชากรของพระเจ้านำพาชายหญิงมาสู่ความเชื่อ “ความเข้าใจในความจริงและถ้อยคำที่สืบทอดกันมา [ก็เติบโตขึ้น] สิ่งนี้เกิดขึ้นได้จากการไตร่ตรองและการศึกษาของผู้ที่มีความเชื่อ ผู้เก็บรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ในใจ (ดู ลูกา 2:19, 51) ผ่านความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในความจริงฝ่ายวิญญาณที่พวกเขามีประสบการณ์ และผ่านการเทศนาของผู้ที่ได้รับของประทานแห่งความจริงอันแน่นอนผ่านการสืบทอดตำแหน่งของพระสังฆราช” (Dei Verbum, 18 พฤศจิกายน 1965)

ในความเป็นหนึ่งเดียวกันนี้ หนังสือคำสอนคือ “คู่มือการเดินทาง” ที่ปกป้องเราจากความเป็นปัจเจกและความขัดแย้ง เพราะเป็นเครื่องยืนยันถึงความเชื่อของพระศาสนจักรคาทอลิกทั้งหมด ผู้ที่มีความเชื่อทุกคนร่วมมือในงานอภิบาลด้วยการรับฟังคำถาม ร่วมแบ่งปันในการต่อสู้ และตอบสนองความปรารถนาในความยุติธรรมและความจริงที่อยู่ในมโนธรรมของมนุษย์

เพื่อที่จะได้มีความเชื่อ มีความหวัง และมีความรัก

นี่คือวิธีที่ผู้ครูคำสอนสอน – ในภาษาอิตาลีหมายถึง “การทิ้งร่องรอยเอาไว้” (leaving a mark) เมื่อเราสอนความเชื่อ เราไม่ได้เพียงแต่ให้คำแนะนำเท่านั้น แต่เราใส่พระวาจาแห่งชีวิตไว้ในจิตใจ เพื่อให้พระวาจานั้นบังเกิดผลแห่งชีวิตที่ดี

นักบุญออกัสตินตอบคำถามสังฆานุกรเดโอกราเทียส (Deacon Deogratias) ผู้ถามท่านว่า จะเป็นครูสอนคำสอนที่ดีได้อย่างไรว่า “จงอธิบายทุกสิ่งเพื่อผู้ที่ฟังท่าน โดยการฟังจะได้เชื่อ โดยการเชื่อจะได้หวัง และโดยการหวังจะได้รัก” (Instructing Beginners in Faith, 4)

ไม่มีใครสามารถให้ในสิ่งที่ตนไม่มีได้

พี่น้องที่รักทั้งหลาย ขอให้เรานำคำเชิญชวนนี้ไปใส่ใจ ขอให้เราระลึกไว้ว่า ไม่มีใครสามารถให้สิ่งที่ตนไม่มีได้ หากคนมั่งมีในพระวรสารได้แสดงความรักต่อลาซารัส เขาคงจะทำดีไม่เพียงแต่กับผู้ยากจนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตัวเขาเองด้วย

หากชายนิรนามผู้นี้มีความเชื่อ พระเจ้าคงจะช่วยเขาให้พ้นจากความทุกข์ทรมานทั้งปวง แต่การยึดติดกับทรัพย์สมบัติทางโลกของเขา ได้พรากความหวังในความดีที่แท้จริงและนิรันดรไป เมื่อเราถูกล่อลวงด้วยความโลภและความเฉยเมยเช่นกัน

“ลาซารัส” มากมายในปัจจุบันเตือนเราถึงพระดำรัสของพระเยซูเจ้า พวกเขาทำหน้าที่เป็นครูคำสอนที่มีประสิทธิภาพสำหรับเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงปีศักดิ์สิทธิ์นี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการกลับใจและการให้อภัย การอุทิศตนเพื่อความยุติธรรม และการแสวงหาสันติสุขอย่างจริงใจสำหรับทุกคน

แหล่งที่มา : https://www.facebook.com/share/p/1CPTMnoyBv/

557455181_785833150734788_833933109326735788_n
กิจกรรมจาริกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ โอกาสปีศักดิ์สิทธิ์ ค.ศ. 2025 สังฆมณฑลราชบุรี (เขตเหนือ)
ฝ่ายอภิบาลสังฆมณฑลราชบุรี (เขตเหนือ) ขอเชิญพี่น้องสัตบุรุษและผู้มีจิตศรัทธาร่วมกิจกรรมจาริกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำเดือนตุลาคม...
557741478_122230547012091125_6851784038712533325_n
การแสวงบุญโอกาสปีศักดิ์สิทธิ์เพื่อครูคำสอน (Jubilee for Catechists) ระหว่างวันที่ 21–30 กันยายน ค.ศ. 2025
ในวาระปีศักดิ์สิทธิ์ ค.ศ. 2025 พระศาสนจักรสากลได้จัดกิจกรรมแสวงบุญสำหรับครูคำสอนจากหลากหลายประเทศทั่วโลก...
557595210_122230471202091125_6120746723843869536_n
บทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 โอกาสปีศักดิ์สิทธิ์เพื่อครูคำสอน (Jubilee for Catechists) วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2025 ณ จัตุรัสนักบุญเปโตร นครรัฐวาติกัน
พี่น้องที่เคารพรัก พระวาจาของพระเยซูเจ้าถ่ายทอดให้เราเห็นว่า พระเจ้าทรงมองโลกอย่างไร ในทุกขณะและทุกสถานที่...

โปสเตอร์ QR Code